มะรุม
มะรุม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Moringa oleifera Lamk
ชื่อสามัญ Horse radish tree, Drumstick
ชื่อวงศ์ MORINGACEAE
ชื่ออื่น รุม (ใต้) ผักอีฮุม (อีสาน)
1. ลักษณะของพืช เป็นไม้ยืนต้นสูง 3-10 เมตรเปลือกสีขาว รากหนานุ่ม ใบประกอบแบบขนนก 2 หรือ 3 ชั้น ยาว 20-60 เซนติเมตรใบชั้นที่หนึ่งมีใบย่อย 8-10 คู่ ใบแบบรูปไข่ รูปไข่กลับ รูปขอบขนาน หลังใบสีเขียวอ่อน ใบอ่อนมีขนสีเทา ขนาดใบย่อยยาว 1-3 เซนติเมตรดอกเป็นช่อดอกแบบช่อแยกแขนงออกตามซอกใบ ยาว 10-30 เซนติเมตรกลีบเลี้ยง 5 กลีบเชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบแยกจากกันสีขาวอมเหลือง ส่วนโคนสีออกเขียว ยาว 1.4-1.9 เซนติเมตรกว้าง0.4 เซนติเมตรปลายกลีบดอกกว้างกว่าโคน เกสรเพศผู้แยกจากกันสมบูรณ์ 5 อัน ไม่สมบูรณ์ 5 อัน เรียงสลับกัน มีขนสีขาวที่โคน อับเกสรสีเหลือง เกสรเพศเมีย 1 อัน ผลยาวเป็นฝัก 3 เหลี่ยม เมล็ดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1 เซนติเมตร3 ปีก
2. สภาพพื้นที่ปลูก เจริญเติบโตได้ดีกับดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย ทนแล้งได้ดี และไม่ชอบพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง
3. พันธุ์
3.1 การเลือกพันธุ์ เลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง เป็นพันธุ์ที่ถูกต้องตรงตามความต้องการของตลาด เลือกเมล็ดและท่อนพันธุ์ ที่ไม่มีเชื้อโรค และแมลงเข้าทำลาย
3.2 พันธุ์ที่นิยมปลูก : พันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์อินเดีย
4. การปลูก
4.1 การเตรียมดิน : ไถพรวนดิน และตากดินประมาณ 7-15 วัน ขุดหลุมขนาดกว้าง x ยาว x ลึก ประมาณ 50 x 50 x50 เซนติเมตรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน
4.2 การเตรียมพันธุ์ : ควรเลือกกิ่งชำ และเมล็ดที่มีความสมบูรณ์ ปราศจากโรคและแมลง สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1. การเพาะเมล็ด โดยเพาะเมล็ดในถุงเพาะชำ ขนาด 4×6 นิ้ว จัดวางไว้ในที่ร่มรำไรแล้ววางเมล็ด 1-2 เมล็ด ลงในถุงเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม จนต้นกล้าเจริญเติบโตจึงคัดออกให้เหลือ 1 ต้นต่อถุง
2. การปักชำ ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งมะรุมที่ไม่อ่อนและแก่เกินไป ขนาดยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ปักในถุงเพาะหรือกระบะเพาะที่จัดวางไว้ในที่ร่มรำไร รดน้ำประมาณ 10-15 วัน กิ่งปักชำจะเริ่มแตกยอดใหม่ออกมา จากนั้นคอยดูแลเพื่อให้กิ่งปักชำเจริญเติบโตแข็งแรง เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตมีอายุได้ประมาณ 30-40 วัน จึงนำลงปลูกในแปลง
4.3 วิธีการปลูก : การปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวใบใช้ระยะระหว่างต้น 1 เมตร และระยะระหว่างแถว 1 เมตร และปลูกเพื่อการเก็บเกี่ยวเมล็ด ใช้ระยะปลูก 4×4 เมตร
5. การดูแลรักษา
5.1 การให้น้ำ เนื่องจากมะรุมเป็นพืชทนแล้งได้ดี และออกดอกออกฝักตามฤดูกาล การให้น้ำ ถ้าเป็นระยะแรกของการปลูก หรือปลูกในฤดูฝนจะไม่มีปัญหาเรื่องการให้น้ำ แต่ในฤดูแล้งควรมีการให้น้ำเช้าและเย็น หรือใช้ระบบน้ำหยด จะทำให้ฝักมีขนาดที่โตและยาวมากขึ้น
5.2 การใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก โดยใส่รอบๆ โคนต้น หลังจากนั้นพรวนดินกลบ หรือใส่ปุ๋ยN:P:Kสูตร 15-15-15 อัตรา 100-200 กรัมต่อต้น และพรวนดินกลบ
5.3 การกำจัดวัชพืช ระยะเริ่มปลูก เป็นช่วงที่สำคัญควรถางหญ้าบริเวณโคนแล้วนำมากลบโคนต้น รักษาความชื้นในดินและเพิ่มธาตุอาหารให้แก่มะรุมอีกด้วย
5.4 โรคและแมลง ไม่มีโรคที่สำคัญในมะรุม ส่วนแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ คือ หนอนเจาะลำต้นและกิ่งทำให้อายุต้นมะรุมไม่ยืนยาวต้องหมั่นตรวจและทำลายหนอนอยู่เสมอ การป้องกันกำจัด ฉีดสารสกัดสมุนไพรไล่แมลงผสมน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจานเพื่อช่วยเป็นสารจับใบ
6. การเก็บเกี่ยว
6.1 ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม : การเก็บเกี่ยวใบชุดแรกเก็บได้หลังจากย้ายกล้าลงปลูกได้ 3 เดือน และรุ่นต่อไปจะเก็บได้ทุกๆ 2 เดือน
6.2 วิธีการเก็บเกี่ยว : ใช้กรรไกรตัดก้านใบนำมาล้าง และผึ่งให้แห้ง แล้วรูดใบออกจากก้านนำไปตาก หรืออบให้แห้งความชื้นไม่เกินร้อยละ 11 สำหรับการเก็บฝักให้ระมัดระวังการเก็บเกี่ยว ไม่ให้ฝักร่วงลงมาแตก
7. การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและเก็บรักษา
7.1 การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว นำใบมาล้าง และทำให้แห้ง โดยการอบหรือตากจนแห้ง อุณหภูมิที่ใช้อบประมาณ50 องศาเซลเซียสอัตราส่วนใบสด6 กิโลกรัมต่อใบแห้ง 1 กิโลกรัม ส่วนของใบใช้ทำเป็นชาชง หรืออัดแคปซูล สำหรับเมล็ดใช้สกัดน้ำมัน
7.2 การเก็บรักษา
- นำใบมะรุมที่อบแห้งสนิทบรรจุถุงพลาสติกใส และปิดปากให้สนิท เขียนฉลากปิดถุงให้เรียบร้อย นำเข้าจัดเก็บในห้องที่สะอาด เย็น ไม่อับชื้น มีอากาศถ่ายเทดี ป้องกันไม่ให้กระทบแสงแดด
- หมั่นคอยดูแลและระวังไม่ให้มีเชื้อราหรือแมลงเข้าไปทำให้คุณภาพมะรุมแดงลดลง
- มะรุมแห้งที่จัดเก็บไว้อายุเกิน 3 เดือนควรจะมีการนำมาอบใหม่อีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีความชื้น และโรคแมลงเข้าทำลาย
Category: พืชสมุนไพร บ-ม