GAP รางจืด
GAP รางจืด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Thumbergia laurifoliaLindl.
ชื่อสามัญ Babbler’s Bill Leaf.
ชื่อวงศ์ ACANTHACEAE
ชื่ออื่น กำลังช้างเผือก, ขอบชะนาง, เครือเทาเขียว, ยาเขียว,รางจืด (ภาคกลาง), รางเย็น (ยะลา) จอลอดิเออ, ซั้งกะ, ปั้งกะล่ะ, พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,ดูเหว่า (ปัตตานี) ทิดพุด (นครศรีธรรมราช), น้ำนอง (สระบุรี), ย้ำแย้, แอดแอ (เพชรบูรณ์)
1. ลักษณะของพืช
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อย อายุหลายปี เถามีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนาน หรือรูปไข่ ความกว้างใบประมาณ 4-7 ซม. ความยาวใบ 8-14 ซม. ขอบใบเว้าเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลมเป็นติ่ง โคนใบเป็นรูปหัวใจ ใบเกลี้ยงไม่มีขน และใบที่อยู่ล่างๆ ก็มักจะใหญ่กว่าใบที่อยู่ถัดขึ้นไป ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-4 ดอก กลีบดอกมีสีม่วงแกมน้ำเงิน มีใบประดับสีเขียวหรือสีขาวปนสีน้ำตาลแดงหรือสีแดงหุ้มดอกอยู่ มีกลีบดอกขนาดใหญ่ 5 กลีบ ที่ฐานดอกมีลักษณะเป็นกรวยตื้นๆ เป็นรูปแตร หลอดกรวยยาวประมาณ 1 ซม. ปลายดอกจะแยกออกเป็น 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน ผลเป็นฝัก เมื่อแห้งแตกได้ มักพบตามป่าดงดิบ ป่าละเมาะ หรือทุ่งหญ้า รางจืดสามารถปลูกได้ทั่วไป
2. สภาพพื้นที่ปลูก
-เป็นพืชที่เจริญเติบโตขึ้นอยู่ตามป่าดงดิบ ป่าละเมาะ หรือทุ่งหญ้า
-เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย และมีความชุ่มชื้นสูง
-ต้องการแสงแดดปานกลาง
3. พันธุ์
3.1 การเลือกพันธุ์ : เลือกพันธุ์จากแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์และต้านทานต่อโรคและแมลง
3.2 พันธุ์ที่นิยมปลูก : พันธุ์ของรางจืด มี 3 สายพันธุ์ คือ
1. รางจืดดอกแดง
2. รางจืดดอกขาว
3. รางจืดดอกม่วง (รางจืดพันธุ์พื้นเมือง)
4.การปลูก
4.1 การเตรียมดิน : ให้ขุดหลุมขนาด 50x50x30 ซม. ระยะปลูก 1×1 เมตร ตากดินไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองก้นหลุมปริมาณ 125 กรัมต่อต้น ก่อนทำการปลูก ควรทำค้างปลูกอาจใช้ค้างปูนหรือค้างไม้ก็ได้ ค้างรางจืดควรมีขนาดใหญ่ เนื่องจากรางจืดเป็นไม้เถาขนาดกลาง และมีการเจริญเติบโตเร็ว
4.2 การเตรียมท่อนพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการใช้เถาปักชำหรือเพาะเมล็ด
4.3 วิธีการปลูก : นำท่อนพันธุ์รางจืดที่มีความสมบูรณ์ ใช้กิ่งปักชำที่มีตาประมาณ 5-6 ตา ยาวประมาณ 20-30 ซม.มาปักชำในหลุมๆ ละ 2-3 ต้น กลบดินที่โคนให้แน่น และพรางแสงด้วยแสลน 50% จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มจนกว่าจะแตกใบอ่อน
ฤดูการปลูกที่เหมาะสม คือ ฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายน กรกฏาคม
5. การดูแลรักษา
5. 1 การให้นํ้า : รางจืดต้องการน้ำในช่วงเริ่มปลูกมากกว่าช่วงอื่นๆ หลังจากนั้นมีการให้น้ำบ้างในช่วงฤดูแล้ง
5.2. การใส่ปุ๋ย : ควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอัตรา 500 กรัมต่อต้น รอบโคนต้นทุกๆ 6 เดือน
5.3 การกำจัดวัชพืช : ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดบริเวณที่ปลูกรางจืด ไม่ให้วัชพืชอื่นขึ้น
5.4 โรคและแมลง : รางจืด ไม่มีโรคและแมลงที่สำคัญ
6. การเก็บเกี่ยว
6.1 ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม : รางจืดเก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 1 ปีขึ้นไป
6.2 วิธีการเก็บเกี่ยว :โดยตัดเถาที่มีขนาดใหญ่บริเวณโคนเถาและเหลือไว้ต้นละ 1-2 เถา เพื่อให้เจริญเติบโตและเก็บเกี่ยวในฤดูฝนต่อไป
7. การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและเก็บรักษา
7.1 การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว: นำมาทำความสะอาด หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำไปอบหรือตากแดดจนแห้ง บรรจุใส่ภาชนะที่สะอาด รางจืดสด 1 ต้น สามารถเก็บผลผลิตได้ประมาณ 2-3 กก.สด และอัตราส่วนผลผลิตใบสด : ผลผลิตใบแห้ง เท่ากับ 10 :1 กิโลกรัม อัตราส่วนผลผลิตต้นสด : ต้นแห้ง เท่ากับ 5 : 1 กิโลกรัม
7.2 การเก็บรักษา : รางจืดที่ตากแห้ง ถ้าต้องการเก็บรักษาไว้ ควรใส่กระสอบเก็บไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่อับชื้น โดยแยกส่วนของใบและเถาออกจากกัน บรรจุใส่ถุง ใน 1 ถุง มีอัตราส่วนใบต่อต้น หรือเถา 6 : 4 โดยน้ำหนัก
8. สุขลักษณะและความสะอาด
- ควรรักษาแปลงปลูกสมุนไพรให้ถูกสุขลักษณะและสะอาดอยู่เสมอ
- กำจัดวัชพืช เพื่อไม่ให้แข่งขันกับพืชหลัก หรือเป็นแหล่งเพาะศัตรูพืชซึ่งอาจติดไปกับผลผลิต
- หลังการตัดแต่ง ควรนำเศษพืชไปทิ้งนอกแปลง หรือทำลายเสีย
- หลังการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เผากำจัดวัสดุเหลือใช้ และกำจัดภาชนะบรรจุให้ถูกวิธี
- เก็บรักษาวัสดุทางการเกษตร เช่น ปุ๋ย สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการทำการเกษตรกรรมให้เรียบร้อยปลอดภัย อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
9. การบันทึกข้อมูล
ในการผลิตเกษตรดีที่เหมาะสมของรางจืด ควรมีการบันทึกข้อมูลการปฏิบัติในขั้นตอนการผลิตต่าง ๆ เพื่อสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบวิธีการผลิตได้โดยเฉพาะการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบคือสารออกฤทธิ์ ดังนั้นการบันทึกข้อมูลจะเป็นสิ่งที่ช่วยในการผลิตวัตถุดิบให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานและหากมีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องเกิดขึ้น จะได้สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงวิธีการผลิตได้ทันทีรายละเอียดที่ควรบันทึกได้แก่
1. บันทึกขั้นตอนการผลิต เช่น รายละเอียดการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะปุ๋ยซึ่งมีผลต่อปริมาณสารสำคัญ และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งหากมีสารพิษตกค้างจะทำให้คุณภาพของสมุนไพรไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
2. บันทึก วันปลูก วันออกดอก วันเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยว วิธีการบรรจุ การขนส่ง และชื่อผู้ปฏิบัติงาน ฯลฯ เพื่อใช้ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบสมุนไพร เช่น ถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงเวลา/อายุ ที่ไม่เหมาะสมจะมีผลทำให้คุณภาพต่ำ ข้อมูลที่บันทึกไว้จะสามารถนำมาใช้ปรับปรุงแก้ไขวิธีการผลิตให้ได้วัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพดีตามมาตรฐาน
3. บันทึก วัน เดือน ปี และวิธีการปฏิบัติงานเพื่อใช้ตรวจสอบ และวางแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหา
Category: GAP