GAP ไพล
GAP ไพล
ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr
ชื่อพ้อง Zingiber cassumunar Roxb.
ชื่อสามัญ -
ชื่อวงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น ปูลอย ปูเลย (ภาคเหนือ) ว่านไฟ (ภาคกลาง) มิ้นสะล่าง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)
1. ลักษณะของพืช
เป็นพืชล้มลุก ลำต้นใต้ดินที่เรียกว่าเหง้า เนื้อสีเหลือง และมีกลิ่นหอมเฉพาะ ลำต้นเทียมแทงขึ้นมาจากดินสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร. ใบออกตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะยาวเรียว และปลายแหลม เนื้อในบาง โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มโดยรอบก้านใบ ดอกออกเป็นช่อแทงจากดินโดยตรง มีกลีบประดับซ้อนกันแน่น มีดอกสีเหลืองอยู่ระหว่างกลีบประดับ
2. สภาพพื้นที่ปลูก
เจริญเติบโตได้ดีในเขตกึ่งร้อน
สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม อุณหภูมิสูงสุดประมาณ35 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดต้องไม่ต่ำกว่า18 องศาเซลเซียส
ลักษณะดิน ควรเป็นดินเหนียวปนทรายที่มีอินทรียวัตถุสูง มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำขัง
ความต้องการแสง ปลูกได้ทั้งที่แจ้ง และที่ร่มแดดรำไร
3. พันธุ์
3.1 การเลือกพันธุ์ :
1. เลือกพันธุ์ที่ให้ผลิตสูง ทนทานต่อโรค และมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยไม่น้อยกว่า 2%
2. เป็นพันธ์ที่ถูกต้องตรงตามความต้องการปลูก เนื่องจากพันธุ์ไพลมีหลายชนิด และมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ได้แก่ ไพลหยวก ไพลพื้นเมือง ไพลปลุกเสก (Z. montanum (Koenig) Link ex Dietr) ไพลม่วง หรือ ไพลดำ (Z. ottensii Valeton.) ไพลเหลือง (Z cassumunar Roxb.) เป็นต้น
3. เลือกหัวพันธุ์ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ไม่มีโรคและแมลงเข้าทำลาย
3.2 พันธุ์ที่นิยมปลูกเพื่อผลิตเชิงการค้า : มี 2 พันธุ์ คือ
1. พันธุ์หยวก เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูกมากกว่าพันธุ์อื่นๆ เพราะให้ปริมาณผลผลิตมาก 7-8 ตันต่อไร่ และให้ปริมาณน้ำมันประมาณ 5-6 ลิตรต่อผลผลิต 1 ตัน
2. พันธุ์พื้นเมือง เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้อยกว่าพันธุ์หยวก เกษตรกรจึงไม่นิยมปลูก แต่ให้ปริมาณน้ำมันไพลมากกว่าพันธุ์หยวก ผลผลิต 1 ตัน ให้ปริมาณน้ำมันประมาณ 7-8 ลิตรและให้ผลผลิต 4-5 ตันต่อไร่
สำหรับไพลพันธุ์อื่นๆ เช่น ไพลพันธุ์ปลุกเสก ปลูกไว้ใช้ในการทำพิธี
4. การปลูก
4.1 การเตรียมดิน :
1. พื้นที่ปลูกที่เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ควรทำการเก็บตัวอย่างดินส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพของดินก่อนปลูก
2. ดินที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย ควรปลูกพืชตระกูลถั่วให้ได้ระยะออกดอก จึงไถกลบดิน หรือปรับปรุงดินด้วยการใส่ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายสมบูรณ์ดีแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน อัตรา 1-2 ตัน/ไร่
3. ไถพรวนดินร่วมกับการใส่ปุ๋ยคอก และตากดินไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ ก่อนปลูก
3. ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับค่าความเป็นกรดด่างของดินให้มีค่า
ประมาณ 5.5-6.5
4. เก็บเศษวัสดุ และกำจัดวัชพืชออกจากแปลง
4.2 การเตรียมพันธุ์ : ใช้เหง้าที่ปลอดโรค ล้างให้สะอาดตัดเป็นท่อนๆ มีตาสมบูรณ์ 3-5 ตา และป้ายปูนแดง หรือปูนขาวที่รอยตัด หรือชุบท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันเชื้อราก่อนปลูก
4.3 วิธีการปลูก : มีวิธีการปลูก 2 วิธี
1. การปลูกในแปลงด้วยเหง้า หรือนำไปเพาะให้งอกก่อน ในกระบะทราย ให้แทงยอด แตกใบประมาณ 2-3 ใบ จึงนำหัวพันธุ์ที่เตรียมไว้ มาปลูกลงในแปลงและกลบดินให้มิด โดยเลือกระยะปลูกมี 2 แบบ
- การปลูกระยะชิด ระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว 25×27 เซนติเมตร เหมาะสำหรับแหล่งปลูกที่มีสภาพความชื้นต่ำ ดินไม่สมบูรณ์ และมีหัวพันธุ์เพียงพอในการปลูก
- การปลูกระยะห่าง ระยะปลูก 60×60 ซม. หรือ 50×50 ซม. เหมาะสำหรับแหล่งปลูกที่มีสภาพความชื้นเพียงพอ และดินสมบูรณ์
2. ช่วงฤดูการปลูก ควรปลูกในช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ใช้ท่อนพันธุ์ประมาณ 150-200 กก./ไร่
3. ท่อนพันธ์ไพลให้มีน้ำหนัก 100 กรัม / หัว ซุบท่อนพันธ์ด้วยสารเคมีนานประมาณ 30นาที เพื่อป้องกันเชื้อรารากก่อนปลูก
4.4. เมื่อขุดหลุมปลูกแล้วให้ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมประมาณหลุมละ 200 กรัม นำดินกลบปุ๋ยหนาประมาณ 1 เซนติเมตร นำหัวพันธ์ที่เตรียมไว้ลงปลูกให้ลึกประมาณ 5 7 เซนติเมตร ใช้ดินกลบท่อนพันธ์หนาประมาณ 5 เซนติเมตร
4.5. คลุมแปลงปลูกด้วยฟางหรือหญ้าคาความหนาประมาณ 2 นิ้ว เพื่อป้องกันการงอกของวัชพืชและรักษาความชื้นในดิน จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มจนกว่าต้นจะงอกและสมบูรณ์ดี
- ข้อควรระวัง
ไม่ควรใส่ปุ๋ยคอกใหม่ๆ ในปริมาณมากๆ เพาะจะทำให้เกิดความร้อน และเข้มข้นเกินไป ซึ่งอาจทำให้เหง้าไพลตายได้
ไม่ควรฉีดพ่นสารเคมีหรือยาฆ่าหญ้าเพาะอาจทำให้สารเคมีเหล่านั้นสะสมในเหง้าไพลได้ หรืออาจจะทำให้ไพลหยุดการเจริญเติบโต ไม่ลงหัว ถ้าเป็นยาฆ่าหญ้าอาจทำให้ต้นไพลแห้งตายได้
หลีกเลี่ยงการปลูกไพลกับพืชสมุนไพรในตระกูลเดียวกัน เพราะอาจเกิดการผสมเกสร ทำให้กลายพันธุ์ หรืออาจจะทำให้สรรพคุณเปลี่ยนแปลงได้
5. การดูแลรักษา
ไพลเป็นพืชที่ไม่ต้องการการดูแลมาก ตั้งแต่หลังปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ดังนี้
5.1 การให้น้ำ ระยะแรกต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอจนกว่าพืชจะตั้งตัวได้ จากนั้นควรให้น้ำอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนในพื้นที่แห้งแล้ง จะอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ไม่มีการรดน้ำ
5.2 การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 500 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ ปุ๋ยเคมี สูตร 12:6:6 ปริมาณ 25 กิโลกรัมต่อไร่ ในช่วงระยะที่กำลังเจริญเติบโตทางลำต้น แต่ไม่ควรให้ปุ๋ยระยะที่ไพลลงหัว
- การใส่ปุ๋ย ควรใส่พร้อมกับการถอนวัชพืชและพรวนดิน ประมาณ 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เมื่อเตรียมแปลงปลูก
ครั้งที่ 2 ขณะปลูกหรือหลังการปลูกทันที
ครั้งที่ 3 หลังการปลูกประมาณ 1 เดือน
ครั้งที่ 4 หลังการปลูกประมาณ 2 เดือน
5.3 การกำจัดวัชพืช
- โดยทั่วไปกำจัดวัชพืชประมาณ 3 ครั้ง
ครั้งแรกหลังจากต้นอ่อนสูงประมาณ 10 เซนติเมตร
ครั้งที่สอง หลังการปลูก 1 2 เดือน (กรกฎาคม)
ครั้งที่สาม หลังการปลูก 2 3 เดือน (สิงหาคม) หรือถ้าพื้นที่ใดมีวัชพืชขึ้นเร็วเกินไปควรกำจัดได้ก่อนกำหนดตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่
- ไถพรวน และตากดิน เพื่อทำลายเมล็ดวัชพืช
- คราดส่วนขยายพันธุ์ของวัชพืชออกในระหว่างขั้นตอนของการเตรียมแปลงปลูก
- การคลุมดินหลังปลูกจะช่วยรักษาความชื้นของดินและบังแสงสว่างไม่ให้วัชพืชงอกหรืองอกได้ช้า หรือใช้พลาสติกทึบแสงคลุมแปลงปลูก
- ขุดทำลายหัวใต้ดินของวัชพืชบางชนิดทุกครั้งที่พบ พรวน ถากดิน และกำจัดวัชพืช ควรทำขณะที่ยังเล็ก โดยใช้การถอน
5.4 โรคที่สำคัญ คือ
โรคเหี่ยว ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ทำให้ต้นมีอาการใบเหลือง ต้นเหี่ยว และหัวเน่าตายในที่สุด
การป้องกันกำจัด
1. ใช้หัวพันธุ์ที่ปลอดโรค หรือจากแหล่งที่ไม่มีการระบาดของโรค
2. ควรจะมีการไถตากดิน ประมาณ 1 เดือนก่อนปลูก และโรยด้วยปูนขาว ปรับสภาพความเป็นกรดและด่างของดินให้ได้ 5.5-6.5
3. ไม่ควรปลูกไพลซ้ำที่ในปีถัดไป และควรปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่เป็นพืชอาศัยของโรคชนิดเดียวกันก่อนการปลูกในฤดูถัดไป
4. พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคให้ทำการอบดินฆ่าเชื้อก่อนปลูก โดยการใช้ยูเรียผสมปูนขาว อัตรา 80:100 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าดินที่ไถพรวนแล้ว และใช้แผ่นพลาสติกสีดำคลุมทิ้งไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ ก่อนปลูกพืช
5. ควรปลูกในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขัง
6. ต้นที่เป็นโรคให้ขุดใส่ถุง และนำไปเผาทำลายทิ้ง และโรยปูนขาวรอบหลุมที่ทำการขุด
7. รองเท้าที่ใส่ในแปลง ควรมีกะบะหรืออ่างที่ใส่น้ำยาฆ่าเชื้อไว้สำหรับจุ่มหรือแช่ ก่อนเดินเข้าแปลง และเครื่องมือทางการเกษตร ก่อนและหลังจากใช้แล้วให้แช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ
5.5 แมลงที่สำคัญ คือ หนอนเจาะลำต้นไพล หนอนเจาะเหง้าไพล แมลงวันแมงมุม เพลี้ยแป้ง
6. การเก็บเกี่ยว
6.1 ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม :
การเก็บเกี่ยวไพล เก็บในช่วงฤดูแล้ง ประมาณเดือนมกราคม มีนาคม ซึ่งเป็นระยะเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมเมื่อไพลมีอายุได้ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงวันที่เก็บเกี่ยว
ควรเก็บหัวไพลเมื่อใบแห้งและฟุบลงกับพื้น ห้ามเก็บหัวไพลที่เริ่มแตกหน่อใหม่ เพราะน้ำมันที่ได้จะมีปริมาณและคุณภาพต่ำ
6.2 วิธีการเก็บเกี่ยว : ขุดเหง้าไพลขึ้นมา ระวังไม่ให้เกิดบาดแผล หรือรอยช้ำ จากนั้นเขย่า และปัดดินออกจากเหง้า ตัดรากโดยรอบออกให้หมด และผึ่งให้แห้ง เก็บผลผลิตบรรจุในถุงตาข่าย ในที่ที่มีการถ่ายเทอากาศดี
7. การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
7.1 การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว
7.1.2 ไพลแห้ง
- ใช้มีดที่สะอาดและคมขูดเปลือกออกให้สะอาดวางในภาชนะ
- นำไปล้างผ่านน้ำที่สะอาดประมาณ 2-3 ครั้ง แล้ว หรือล้างด้วยเครื่องล้างสมุนไพรอีก 1 ครั้ง
- นำท่อนไพลไปหั่นด้วยเครื่องสับสมุนไพรหรือ หั่นเป็นชิ้นบางๆ
- นำไพลที่หั่นเสร็จใส่ถาด นำเข้าตู้อบที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส นาน 48 ชั่วโมง
- กรณีไม่มีตู้อบสมุนไพร ให้นำไพลที่หั่นเสร็จใส่ถาด นำไปวางบนชั้นที่มีความแข็งแรง มีความสูงจากพื้นประมาณ 60 70 เซนติเมตร ตากแดดนานประมาณ 4 วัน (ควรจะกลับวัตถุดิบทุก 3- 4 ชั่วโมงต่อวัน)
7.1.1 ไพลสด ใช้ผลิตน้ำมันไพล นำหัวพันธ์ไพลที่เก็บเกี่ยวได้มาทำการสกัดน้ำมันไพล หลังจากเก็บไพลมาจากแปลงไม่ควรทิ้งไพลสดไว้นานเกิน 2 เดือน เพราะจะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันหอมระเหยลดลง อัตราส่วนผลผลิตสด : น้ำมันไพล เท่ากับ 1 ตัน : 8-10 ลิตร
7.2 การเก็บรักษา
- นำไพลที่อบแห้งสนิทบรรจุถุงพลาสติกใส 2 ชั้นปิดปากให้สนิท
- เขียนฉลากปิดถุงให้เรียบร้อย
- นำเข้าจัดเก็บที่ห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี ป้องกันแสงแดด ระวังไม่ให้มีเชื้อราหรือแมลงเข้าไปทำให้คุณภาพไพลลดลง
- ไพลแห้งที่จัดเก็บไว้อายุเกิน 3 เดือนควรจะมีการนำมาอบใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้มีความชื้น และมีแมลงรบกวน
8. สุขลักษณะและความสะอาด
- ควรรักษาแปลงปลูกสมุนไพรให้ถูกสุขลักษณะและสะอาดอยู่เสมอ
- กำจัดวัชพืช เพื่อไม่ให้แข่งขันกับพืชหลัก หรือเป็นแหล่งเพาะศัตรูพืชซึ่งอาจติดไปกับผลผลิต
- หลังการตัดแต่ง ควรนำเศษพืชไปทิ้งนอกแปลง หรือทำลายเสีย
- หลังการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้
- เผากำจัดวัสดุเหลือใช้ และกำจัดภาชนะบรรจุให้ถูกวิธี
- เก็บรักษาวัสดุทางการเกษตร เช่น ปุ๋ย สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการทำการเกษตรกรรมให้เรียบร้อยปลอดภัย อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
9. การบันทึกข้อมูล
ในการผลิตเกษตรดีที่เหมาะสมของไพล ควรมีการบันทึกข้อมูลการปฏิบัติในขั้นตอนการผลิตต่างๆ เพื่อสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบวิธีการผลิตได้โดยเฉพาะการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบคือสารออกฤทธิ์ ดังนั้นการบันทึกข้อมูลจะเป็นสิ่งที่ช่วยในการผลิตวัตถุดิบให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานและหากมีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องเกิดขึ้น จะได้สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงวิธีการผลิตได้ทันทีรายละเอียดที่ควรบันทึกได้แก่
1. บันทึกขั้นตอนการผลิต เช่น รายละเอียดการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะปุ๋ยซึ่งมีผลต่อปริมาณสารสำคัญ และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งหากมีสารพิษตกค้างจะทำให้คุณภาพของสมุนไพรไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
2. บันทึก วันปลูก วันออกดอก วันเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยว วิธีการบรรจุ การขนส่ง และชื่อผู้ปฏิบัติงาน ฯลฯ เพื่อใช้ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบสมุนไพร เช่น ถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงเวลา/อายุ ที่ไม่เหมาะสมจะมีผลทำให้คุณภาพต่ำ ข้อมูลที่บันทึกไว้จะสามารถนำมาใช้ปรับปรุงแก้ไขวิธีการผลิตให้ได้วัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพดีตามมาตรฐาน
3. บันทึก วัน เดือน ปี และวิธีการปฏิบัติงานเพื่อใช้ตรวจสอบ และวางแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหา
Category: GAP