banner ad

จันทน์เทศ

| May 1, 2024

จันทน์เทศ

ชื่อสามัญ จันทน์เทศ Nutmeg

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Myristica fragrans Houtt.

ชื่ออื่นๆ จันทน์บ้าน (ภาคเหนือ, เงี้ยว-ภาคเหนือ), โย่วโต้วโค่ว โร่วโต้วโค่ว (จีนกลาง), เหน็กเต่าโข่ว (จีนแต้จิ๋ว) ปาลา (มาเลเซีย) เป็นต้น

ถิ่นกำเนิดและประวัติความเป็นมา

จันทน์เทศ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่เกาะบันดา ในหมู่เกาะโมลุกกะ อันได้ชื่อว่าเป็นหมู่เกาะเครื่องเทศ ในประเทศอินโดนีเซีย และยังถือกันว่าจันทน์เทศเป็นพืชพื้นเมืองของหมู่เกาะนั้นอีกด้วย ต่อมาเมื่ออังกฤษเข้าครอบครองหมู่เกาะโมลุกกะจึงได้นำเมล็ดจันทน์เทศไปปลูกยัง สิงคโปร์ เกาะวินเซอร์ ทรินิแคด ปีนัง สุมาตรา เกาะเกรนาดาในอเมริกาใต้ และในศรีลังกา เป็นต้น แล้วจึงมีการแพร่พันธุ์ไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วเขตร้อนของโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้มากทางภาคตะวันออก และทางภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช และชุมพร

ลักษณะทั่วไป

จันทน์เทศเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 5-18 เมตร เปลือกลำต้นเรียบ สีเทาอมดำ เนื้อไม้สีนวลหอมเพราะมีน้ำมันหอมระเหยที่เนื้อไม้

สำหรับตันจันทน์เทศจะมีต้นตัวผู้ และต้นตัวเมีย โดยต้นตัวผู้จะให้ดอกเฉพาะตัวผู้ และต้นตัวเมียจะให้ดอกเฉพาะตัวเมียเท่านั้น ใบดอกเป็นใบเดี่ยวโดยออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรี หรือ รูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เนื้อใบแข็ง หลังใบเรียบเป็นมัน และเป็นสีเขียวอมสีเหลืองอ่อน ส่วนท้องใบเรียบ และเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนก้านใบยาวประมาณ 6-12 มิลลิเมตร ดอกออกเป็นช่อ ช่อละประมาณ 2-3 ดอก หรือ ออกเป็นดอกเดี่ยว โดยจะออกตามซอกใบ ดอกเป็นสีเหลืองอ่อนอมขาว กลีบดอกเชื่อมติดกัน ดอกเป็นรูปคนโทคว่ำ ปลายกลีบแยกออกเป็น 4 แฉกแหลมช่อดอกยาวประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ซึ่งดอกจะเป็นแบบแยกเพศกันอยู่คนละต้น

โดยดอกเพศผู้จะเกิดเป็นกลุ่มๆ ส่วนดอกเพศเมียจะเกิดเป็นดอกเดี่ยว และดอกเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ โดยต้นตัวเมียเท่านั้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ส่วนต้นเพศผู้จะปลูกไว้เพื่อผสมเกสรกับต้นตัวเมียเท่านั้น ผลเป็นผลสด ค่อนข้างฉ่ำน้ำ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลม รูปร่างคล้ายกับลูกสาลี่ ยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-7 เซนติเมตร เปลือกผลเรียบเป็นสีเหลืองนวล สีเหลืองอ่อน เหลืองออกส้ม หรือ สีแดงอ่อน ส่วนเนื้อมีสีครีมมีรสเปรี้ยวฝาดเมื่อผลแก่แตกอ้าออกเป็น 2 ซีก เมล็ดลักษณะกลม ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร เมล็ดเป็นสีน้ำตาล เนื้อ และเปลือกแข็ง มีจำนวน 1 เมล็ดต่อผล ส่วนด้านนอกเมล็ดมีรกสีแดงเป็นริ้วคลุมทั่ว

สำหรับส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ คือ ส่วนเยื่อหุ้มเมล็ด ที่เรียกว่า ดอกจันทน์ (Mace) ลักษณะเป็นริ้วสีแดงจัด ดูเหมือนร่างแห เป็นแผ่นบางมีหลายแฉกหุ้มเมล็ด โดยจะรัดติดแน่นอยู่กับเมล็ด เมื่อนำมาแกะแยกออกจากเมล็ด รกที่แยกออกมาใหม่ๆจะมีสีแดงสด  เมื่อทำให้แห้งสีของรกจะเปลี่ยนจากสีแดงสดเป็นสีเหลืองอ่อน หรือ สีเนื้อ และเปราะ ผิวเรียบ ขนาดความยาว 3-5 เซนติเมตร ความกว้าง 1-3 เซนติเมตร ความหนา 0.5-1 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม รสขม ฝาด เผ็ดร้อน และเมล็ดของจันทน์เทศที่เรียกกันว่า ลูกจันทน์ (Nut meg) คือ เมล็ดที่เอาเปลือกเมล็ดออก  (โดยเปลือกเมล็ดจะแข็งแต่เปราะ) ภายในคือส่วนของเนื้อในเมล็ด เมื่อผ่าดูจะเห็นเนื้อเป็นรอยย่นตามยาวของเมล็ด เมล็ดเมื่อทำแห้ง จะมีกลิ่นแรง  หอมเฉพาะ  รสขม ฝาด เปรี้ยว เผ็ดร้อน

พันธุ์และการขยายพันธุ์

            จันทน์เทศสามารถขยายพันธุ์ได้ โดยมีวิธีการ คือ นำเมล็ดจันทน์เทศมาเพาะในถุงเพาะชำ รดน้ำให้ชุ่มทุกวันประมาณ 3-4 เดือน เมล็ดจะงอกเป็นต้นสูงประมาณ 1 ฟุต จึงย้ายลงปลูกในหลุม สำหรับการปลูก และการเตรียมดินก็เหมือนกับการเตรียมดิน และการปลูกขุดหลุมลึกประมาณ 50×50 ซม. ลึก  30 ซม. ใส่ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมักรองพื้นก้นหลุม

วิธีการปลูก

-      การปลูกจะใช้ต้นกล้าอายุประมาณ 1 เดือน ลงปลูกในหลุมปลูก ระยะระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 6-7.5x 6-7.5 เมตร การปลูกปกติจะปลูกต้นตัวผู้ และต้นตัวเมียในอัตราส่วน 1 ต่อ 10 เพราะต้นตัวผู้จะปลูกไว้เพื่อผสมเกสรเท่านั้น โดยมีอัตราการปลูก 25-36 ต้น/ไร่

การดูแลรักษา

ในระยะแรกของการปลูก ต้นจันทน์เทศต้องการร่มเงา เพื่อการเจริญเติบโตมาก จึงควรปลูกพืชอื่นแซมให้ร่มเงา หรือ ทำที่บังแดดให้ในระยะแรกด้วย ส่วนการให้น้ำ ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน และหมั่นกำจัดวัชพืช บริเวณโคนต้น และไม่ควรกวาดใบไม้แห้ง หรือ ขยะมาสุมบริเวณโคนต้น เพราะอาจทำให้ต้นจันทน์เทศตายได้

ทั้งนี้ ต้นจันทน์เทศสามารถขึ้นได้ในสภาพของดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินร่วนปนทราย ที่มีอินทรีย์วัตถุสูง และต้นจันทน์เทศสามารถเจริญได้ดีในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น รวมถึงต้องการปริมาณน้ำฝนปีละ 2,000-2,500 มิลลิเมตร สามารถขึ้นได้ในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึงความสูงประมาณ 900 เมตร

โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญ

             เพลี้ยไฟ และใบจุด

การคัดเกรดจันทน์เทศ

1.ขนาดรกหุ้มเมล็ด : มึความหนา สีแดงเข้ม หุ้มเมล็ดจนแน่น และมีน้ำหนักสด 3-4 กรัม
2.ปริมาณน้ำมันหอมระเหยในรกหุ้มเมล็ด ดอก ไม่น้อยกว่า 11.0 % V/W
3.ปริมาณน้ำมันหอมระเหยในเมล็ดไม่น้อยกว่า 5.0 % V/W
4.ปริมาณความชื้นในเมล็ดไม่เกิน 10%
5.ปริมาณความชื้นในรกไม่เกิน 12%
6.น้ำหนักเมล็ด 9-7 กรัม
7.ลักษณะผลใหญ่ น้ำหนักสด 75-100 กรัม
8.ผลผลิตต่อต้น 1,500-2,000 z]

การใช้ประโยชน์

ราก และเมล็ดจันทน์เทศมาทำเป็นเครื่องเทศ

อินเดียใช้เป็นเครื่องเทศในอาหารโมกุล (Moghul) ชาวอาหรับใช้ปรุงอาหารที่ทำจากเนื้อแพะ เนื้อแกะ

ชาวดัตช์ใส่ในมันฝรั่งบด สตู และฟรุตสลัด

อิตาลีใส่ในอาหารจากผัก รวมทั้งไส้กรอก เนื้อวัว พาสต้า ชาวอินโดนีเซียนำไปทำแยม เยลลี่ ลูกกวาด

ยุโรปใช้ปรุงรสในเค้กน้ำผึ้ง เค้กผลไม้

ไทยนำไปผสมกับขนมปัง เนย แฮม ไส้กรอก เบคอน เนื้อตุ๋นต่างๆ แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น น้ำพริกสำเร็จรูป หรือ นำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เพื่อช่วยในการถนอมอาหาร

เนื้อผลของจันทน์เทศทำแช่อิ่ม หยี หรือทำจันทน์เทศสามรส และยังใช้เนื้อผลสดกินเป็นของขบเคี้ยว มีรสออกเผ็ด และฉุน

น้ำมันลูกจันทน์ (Nutmeg oil or myristica oil) ที่ได้จากการกลั่นลูกจันทน์ด้วยไอน้ำ สามารถนำมาไปใช้แต่งกลิ่นผงซักฟอก ยาชะล้าง สบู่ น้ำหอม ครีม และโลชันบำรุงผิวได้

เนื้อไม้มีกลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ทำเครื่องร่ำ น้ำอบไทย หรือ ใช้ทำเครื่องหอมต่างๆ ได้อีกด้วย

Category: พืชสมุนไพร, พืชสมุนไพร ก-ณ

Comments are closed.

banner ad

Hit Counter provided by technology news