banner ad

ส้มโอ

| February 10, 2014
ชื่อต้น : ส้มโอ
ชื่อสามัญ : pummelo
พันธุ์ส้มโอ ได้แก่ พันธุ์ขาวแตงกวา  พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง  พันธุ์ขาวแป้น  พันธุ์ขาวพวง พันธุ์ขาวหอม พันธุ์ขาวใหญ่ พันธุ์ทองดี พันธุ์ทับทิมสยาม  พันธุ์ท่าข่อย  พันธุ์หอมควนลัง
การขยายพันธุ์โดยการตอน ติดตา
การเลือกซื้อกิ่งพันธุ์
  1. เป็นยอดพันธุ์ดีที่ได้จากแปลงผลิตพันธุ์ดี ตรงตามพันธุ์ และมีการจัดการแปลงตามมาตรฐาน GAP
  2. เป็นยอดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป และมีตาที่สมบูรณ์ไม่ต่ำกว่า 2 – 3 ตา
  3. ต้นตอได้จากเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง/พันธุ์เฉพาะที่ต้องการ ที่มีความสมบูรณ์ ปราศจากโรคและแมลง มีขนาดใกล้เคียงกับยอดพันธุ์ดี
  4. ต้นพันธุ์ที่เสียบยอด  ต้องชำในถุงเพาะชำตามมาตรฐานที่กำหนด ขนาด 4×9 นิ้ว
  5. ใช้วัสดุเพาะชำที่เหมาะสม โดยมีส่วนผสมของ ดิน : แกลบดิบ/ขุยมะพร้าว : ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วนโดยประมาณ 1:2:1 หรือใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่
  6. รอยแผลจากการเสียบยอดต้องประสานสนิท และต้องนำวัสดุที่พันรอยแผลออก
  7. ต้นพันธุ์มีความสูงไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร โดยวัดจากโคนต้นในระดับดินถึงปลายยอด
  8. ต้นพันธุ์พร้อมจำหน่ายหรือพร้อมปลูกต้องมีสภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ปรากฏอาการของการขาดธาตุอาหารหรือการทำลายของโรคและแมลง
  9. ต้องชำในภาชนะที่บรรจุไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และไม่เกิน 8 เดือนหากพ้นกำหนดต้องมีการเปลี่ยน ภาชนะบรรจุให้มีขนาดใหญ่ขึ้นตามความเหมาะสม
  10. ต้องมีป้ายตามมาตรฐานที่กำหนด ติดกับต้นพันธุ์ และสามารถตรวจสอบได้
วิธีการปลูก : ปลูกได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย  การปลูกเตรียมหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ ใช้ระยะปลูก 6×6 ถึง 8×8 เมตร ช่วงติดดอกออกผลเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ดอกออกมากเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ระยะออกดอกถึงเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน
การดูแลรักษา : หลังปลูกประมาณ 3 ปี ส้มโอจะเริ่มให้ผลผลิต การดูแลรักษาควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกอัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อต้น ส่วนปุ๋ยเคมีควรใส่ปุ๋ยสูตร 25-7-7 หรือ 15-15-15,46-0-0 สัดส่วน 1:1 ก่อนการออกดอก 1-2 เดือน ใส่ปุ๋ย 12-24-12 อัตรา 1 ใน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม (หน่วยเป็นกิโลกรัม)
โรคและการป้องกันกำจัด
1. โรคแคงเกอร์ อาการที่พบบนใบ เริ่มแรกจะเห็นเป็นจุดฉ่ำน้ำ ต่อมาแผลจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเห็นเป็น แผลจุดนูนมีลักษณะฟูคล้ายฟองน้ำนูนขึ้นมามีสีเหลืองอ่อน ต่อมาแผลจะเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อแข็งสีน้ำตาลเข้ม ตรงกลางแผลยุบตัว ขอบแผลยกตัวขึ้น มีลักษณะคล้ายปล่องภูเขาไฟ บริเวณรอบๆ แผลปรากฏเป็นวงสีเหลืองล้อมรอบแผล จุดนูนสีน้ำตาลพบทั้งด้านหน้าใบและหลังใบ โดยเห็นชัดเจนด้านหลังใบ แผลจะเกิดในทุกส่วนของใบรวมทั้งก้านใบด้วย ทำให้ใบเหลืองร่วงก่อนกำหนด นอกจากใบแล้วก็จะพบอาการที่กิ่งและผลของส้มโอด้วย
การป้องกันกำจัด
ก. ตัดแต่ง ใบ กิ่ง และผลที่เป็นโรคไปเผาทำลาย เพื่อลดความรุนแรงของโรค
ข. เก็บเผาทำลายเศษซากพืชเป็นโรคที่ร่วงอยู่ใต้ต้น เพื่อลดปริมาณเชื้อสะสม
ค. หมั่นสำรวจอาการของโรคอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าเริ่มมีการระบาดให้พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชกลุ่มสารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% ดับเบิลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คิวปรัสออกไซด์ 86.2% ดับเบิลยูจี อัตรา 10-15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ 77% ดับเบิลยูพี อัตรา 15-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นต้น ทุก 7-10 วัน จำนวน 2-3 ครั้ง

2. โรครากเน่าและโคนเน่า (เชื้อรา Phytophthora parasitica)

อาการที่ราก อาการเริ่มแรกส้มจะแสดงอาการใบเหลืองและมีขนาดเล็ก เหี่ยวและร่วง เมื่อขุดดูที่รากฝอยจะพบว่ามีลักษณะเปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาลและหลุดล่อนง่าย เมื่อโรครุนแรงอาการเน่าจะลามไปยังรากใหญ่และโคนต้น ทำให้ต้นโทรมและยืนต้นตาย

อาการที่โคนต้น เกิดเป็นจุดฉ่ำน้ำมียางสีครีมหรือน้ำตาลไหลซึมออกมา เมื่อลอกเปลือกออกจะพบเนื้อไม้ใต้เปลือกเป็นแผลสีนํ้าตาล ถ้าแผลขยายใหญ่ไปตามลำต้น ลึกเข้าไปในท่อนํ้า ท่ออาหารและราก ต้นส้มจะแสดงอาการใบเหลืองเหี่ยวลู่ลง ใบร่วงเป็นจำนวนมาก ต้นจะโทรมและยืนต้นตาย

อาการที่ใบ ดอกและผลส้ม ในสภาพที่มีฝนตกชุกลมฝนแรง เชื้อราอาจถูกพัดพาไปเข้าทําลายดอก ใบและผลส้ม ทําให้ดอกส้มเน่าเป็นสีน้ำตาล เหี่ยวแห้งและร่วง ใบและผลส้มเกิดเป็นจุดแผลสีน้ำตาลและจะเน่าลุกลามขยายเป็นแผลขนาดใหญ่ ทำให้ใบและผลร่วง

การป้องกันกำจัด

1. เลือกใช้ต้นตอที่ทนทานต่อโรครากเน่าและโคนเน่า เช่น ต้นตอทรอยเยอร์ คาริโซ หรือสวิงเกิ้ล
2. แปลงปลูกควรมีการระบายน้ำดี ไม่ควรมีน้ำท่วมขัง และเมื่อมีน้ำท่วมขังควรรีบระบายออก
3. ตัดแต่งทรงพุ่มให้โคนต้นโปร่ง การถ่ายเทอากาศดี แสงแดดส่องถึง ควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้รากหรือลำต้นเกิดแผล ซึ่งจะเป็นช่องทางให้เชื้อราสาเหตุโรคเข้าทำลายพืชได้ง่ายขึ้น
4. ตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบส่วนของใบ ดอก และผลที่เป็นโรค ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก
5. ไม่นำเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรค ไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ใหม่ทุกครั้ง
6. ต้นส้มที่เป็นโรครุนแรงควรขุดออกแล้วนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก ตากดินไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงปลูกทดแทน
7. เมื่อเริ่มพบต้นที่เป็นโรค ราดดินด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
8. เมื่อเริ่มพบโรคบริเวณโคนต้นใช้มีดถากเปลือกหรือขูดเปลือกบริเวณที่เป็นโรคออก แล้วทาด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 100-150 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 80-100 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล+แมนโคเซบ 72% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทุก 5-7 วัน หรือจนกว่าแผลจะแห้ง

แมลงศัตรูและการป้องกันกำจัด
1.หนอนชอนใบ ลักษณะอาการหนอนชอนใบทำลายใบอ่อนโดยจะชอนเข้าไปกัดกินในระหว่างชั้นของผิวใบทำให้เกิดเป็นรอยโพรงสีขาว มีผลทำให้การสังเคราะห์แสงลดลงและโรคแคงเกอร์เข้าทำลายซ้ำ
การป้องกันกำจัดโดยตัดแต่งใบอ่อนที่ถูกหนอนทำลายมาเผาไฟ และพ่นสารปิโตรเลียมสเปรย์ออยล์ 83.9% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไทอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
2. เพลี้ยไฟ จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อนทำให้ใบหงิกงอ
การป้องกันกำจัด ตัดแต่งใบที่ถูกทำลายทิ้ง และพ่นสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอะเซททามิพริด 20% เอสพี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

3.แมลงค่อมทอง จะกัดกินใบอ่อนและยอดอ่อนถ้าทำลายมากจะกินใบอ่อนจนเหลือแต่ก้านใบ
การป้องกันกำจัด เขย่าต้นหรือกิ่งและเก็บตัวแมลงไปทำลาย และพ่นสารคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

ดัชนีการเก็บเกี่ยว

อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมของส้มโอ คือ ประมาณ 6.5-7.5 เดือน หลังดอกบาน ส้มโอแก่จะมี ต่อมน้ำมันที่ก้นผลห่างและผิวมีนวล ส้มโอที่เก็บเกี่ยวแก่เกินไป ไส้และกลีบจะแตก เนื้อฟ่าม และร่วนเหมือนเมล็ดข้าวสาร

ที่อุณหภูมิ 5  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 1 วัน และที่อุณหภูมิ 10  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 5-6 วัน หากเก็บรักษานานขึ้นส้มโอจะแสดงอาการสะท้านหนาว โดยผิวจะเปลี่ยนเป็นจุดสีน้ำตาลและขยาย ขนาดมากขึ้นตามความรุนแรงและอายุการเก็บรักษา ที่อุณหภูมิ 13-15  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 8 วัน  ที่อุณหภูมิ 30  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 1-2 วัน ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95%

ส้มโอส่งออกจะผ่านการล้างทำความสะอาดและเคลือบผิว เพื่อช่วยลด การสูญเสียน้ำระหว่างการขนส่งและการวางจำหน่าย สำหรับการบรรจุส้มโอจะ บรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูก โดยเรียงเพียงหนึ่งหรือสองชั้น และมีกระดาษลูกฟูก คั่นระหว่างผลหรือชั้น

คุณค่าอาหารและสรรพคุณ

ส้มโอมีวิตามินซีมาก ตามมาด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 และน้ำในส้มโอยังมีน้ำตาลประเภทย่อยสลายได้ทันทีเรียกว่า กลูโคส (glucose) ให้พลังงานกับร่างกายอย่างรวดเร็ว ส้มโอมีเส้นใยสูงช่วยในการขัยถ่าย และขับสารพิษ ถ้าใครมีอาการท้องอืด ก็ให้รับประทานส้มโอเป็นอาหารว่างได้เลย หากมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวรับประทานส้มโอให้มากๆ จะช่วยระบายความร้อน ผ่อนพิษไข้ที่อยู่ในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน

 

GAP ส้มโอ
By Satja Prasongsap
Professional Research Scientist
Horticultural Research Institute(HRI), Department of Agriculture (DOA)

Category: GAP, VDO, พืชไม้ผล, พืชไม้ผล ย-ฮ

Comments are closed.

banner ad

Hit Counter provided by technology news