banner ad

ส้มโอ

| February 10, 2014
ชื่อต้น : ส้มโอ
ชื่อสามัญ : pummelo
พันธุ์ส้มโอ ได้แก่ พันธุ์ขาวแตงกวา  พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง  พันธุ์ขาวแป้น  พันธุ์ขาวพวง พันธุ์ขาวหอม พันธุ์ขาวใหญ่ พันธุ์ทองดี พันธุ์ทับทิมสยาม  พันธุ์ท่าข่อย  พันธุ์หอมควนลัง

ปี 2566 มูลค่าการส่งออกที่  1,203 ล้านบาท ผลผลิตที่ส่งออกประมาณ 25,000 ตัน พื้นที่ปลูกที่ให้ผลผลิตแล้วมีประมาณ 14,000 ไร่ ตลาดหลักที่สำคัญได้แก่ จีน มาเลเซีย โดยส้มโอส่วนใหญ่ที่จีนนำเข้าจากไทย ได้แก่ ส้มโอพันธุ์ทับทิม สยาม ส้มโอพันธุ์ทองดี ส้ม โอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง

การขยายพันธุ์โดยการตอน ติดตา
การเลือกซื้อกิ่งพันธุ์
  1. เป็นยอดพันธุ์ดีที่ได้จากแปลงผลิตพันธุ์ดี ตรงตามพันธุ์ และมีการจัดการแปลงตามมาตรฐาน GAP
  2. เป็นยอดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป และมีตาที่สมบูรณ์ไม่ต่ำกว่า 2 – 3 ตา
  3. ต้นตอได้จากเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง/พันธุ์เฉพาะที่ต้องการ ที่มีความสมบูรณ์ ปราศจากโรคและแมลง มีขนาดใกล้เคียงกับยอดพันธุ์ดี
  4. ต้นพันธุ์ที่เสียบยอด  ต้องชำในถุงเพาะชำตามมาตรฐานที่กำหนด ขนาด 4×9 นิ้ว
  5. ใช้วัสดุเพาะชำที่เหมาะสม โดยมีส่วนผสมของ ดิน : แกลบดิบ/ขุยมะพร้าว : ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วนโดยประมาณ 1:2:1 หรือใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่
  6. รอยแผลจากการเสียบยอดต้องประสานสนิท และต้องนำวัสดุที่พันรอยแผลออก
  7. ต้นพันธุ์มีความสูงไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร โดยวัดจากโคนต้นในระดับดินถึงปลายยอด
  8. ต้นพันธุ์พร้อมจำหน่ายหรือพร้อมปลูกต้องมีสภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ปรากฏอาการของการขาดธาตุอาหารหรือการทำลายของโรคและแมลง
  9. ต้องชำในภาชนะที่บรรจุไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และไม่เกิน 8 เดือนหากพ้นกำหนดต้องมีการเปลี่ยน ภาชนะบรรจุให้มีขนาดใหญ่ขึ้นตามความเหมาะสม
  10. ต้องมีป้ายตามมาตรฐานที่กำหนด ติดกับต้นพันธุ์ และสามารถตรวจสอบได้
วิธีการปลูก : ปลูกได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย  การปลูกเตรียมหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ ใช้ระยะปลูก 6×6 ถึง 8×8 เมตร ช่วงติดดอกออกผลเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ดอกออกมากเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ระยะออกดอกถึงเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน
การดูแลรักษา : หลังปลูกประมาณ 3 ปี ส้มโอจะเริ่มให้ผลผลิต การดูแลรักษาควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกอัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อต้น ส่วนปุ๋ยเคมีควรใส่ปุ๋ยสูตร 25-7-7 หรือ 15-15-15,46-0-0 สัดส่วน 1:1 ก่อนการออกดอก 1-2 เดือน ใส่ปุ๋ย 12-24-12 อัตรา 1 ใน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม (หน่วยเป็นกิโลกรัม)
โรคและการป้องกันกำจัด
1. โรคแคงเกอร์ อาการที่พบบนใบ เริ่มแรกจะเห็นเป็นจุดฉ่ำน้ำ ต่อมาแผลจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเห็นเป็น แผลจุดนูนมีลักษณะฟูคล้ายฟองน้ำนูนขึ้นมามีสีเหลืองอ่อน ต่อมาแผลจะเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อแข็งสีน้ำตาลเข้ม ตรงกลางแผลยุบตัว ขอบแผลยกตัวขึ้น มีลักษณะคล้ายปล่องภูเขาไฟ บริเวณรอบๆ แผลปรากฏเป็นวงสีเหลืองล้อมรอบแผล จุดนูนสีน้ำตาลพบทั้งด้านหน้าใบและหลังใบ โดยเห็นชัดเจนด้านหลังใบ แผลจะเกิดในทุกส่วนของใบรวมทั้งก้านใบด้วย ทำให้ใบเหลืองร่วงก่อนกำหนด นอกจากใบแล้วก็จะพบอาการที่กิ่งและผลของส้มโอด้วย
การป้องกันกำจัด
ก. ตัดแต่ง ใบ กิ่ง และผลที่เป็นโรคไปเผาทำลาย เพื่อลดความรุนแรงของโรค
ข. เก็บเผาทำลายเศษซากพืชเป็นโรคที่ร่วงอยู่ใต้ต้น เพื่อลดปริมาณเชื้อสะสม
ค. หมั่นสำรวจอาการของโรคอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าเริ่มมีการระบาดให้พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชกลุ่มสารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% ดับเบิลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คิวปรัสออกไซด์ 86.2% ดับเบิลยูจี อัตรา 10-15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ 77% ดับเบิลยูพี อัตรา 15-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นต้น ทุก 7-10 วัน จำนวน 2-3 ครั้ง

2. โรครากเน่าและโคนเน่า (เชื้อรา Phytophthora parasitica)

อาการที่ราก อาการเริ่มแรกส้มจะแสดงอาการใบเหลืองและมีขนาดเล็ก เหี่ยวและร่วง เมื่อขุดดูที่รากฝอยจะพบว่ามีลักษณะเปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาลและหลุดล่อนง่าย เมื่อโรครุนแรงอาการเน่าจะลามไปยังรากใหญ่และโคนต้น ทำให้ต้นโทรมและยืนต้นตาย

อาการที่โคนต้น เกิดเป็นจุดฉ่ำน้ำมียางสีครีมหรือน้ำตาลไหลซึมออกมา เมื่อลอกเปลือกออกจะพบเนื้อไม้ใต้เปลือกเป็นแผลสีนํ้าตาล ถ้าแผลขยายใหญ่ไปตามลำต้น ลึกเข้าไปในท่อนํ้า ท่ออาหารและราก ต้นส้มจะแสดงอาการใบเหลืองเหี่ยวลู่ลง ใบร่วงเป็นจำนวนมาก ต้นจะโทรมและยืนต้นตาย

อาการที่ใบ ดอกและผลส้ม ในสภาพที่มีฝนตกชุกลมฝนแรง เชื้อราอาจถูกพัดพาไปเข้าทําลายดอก ใบและผลส้ม ทําให้ดอกส้มเน่าเป็นสีน้ำตาล เหี่ยวแห้งและร่วง ใบและผลส้มเกิดเป็นจุดแผลสีน้ำตาลและจะเน่าลุกลามขยายเป็นแผลขนาดใหญ่ ทำให้ใบและผลร่วง

การป้องกันกำจัด

1. เลือกใช้ต้นตอที่ทนทานต่อโรครากเน่าและโคนเน่า เช่น ต้นตอทรอยเยอร์ คาริโซ หรือสวิงเกิ้ล
2. แปลงปลูกควรมีการระบายน้ำดี ไม่ควรมีน้ำท่วมขัง และเมื่อมีน้ำท่วมขังควรรีบระบายออก
3. ตัดแต่งทรงพุ่มให้โคนต้นโปร่ง การถ่ายเทอากาศดี แสงแดดส่องถึง ควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้รากหรือลำต้นเกิดแผล ซึ่งจะเป็นช่องทางให้เชื้อราสาเหตุโรคเข้าทำลายพืชได้ง่ายขึ้น
4. ตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบส่วนของใบ ดอก และผลที่เป็นโรค ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก
5. ไม่นำเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรค ไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ใหม่ทุกครั้ง
6. ต้นส้มที่เป็นโรครุนแรงควรขุดออกแล้วนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก ตากดินไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงปลูกทดแทน
7. เมื่อเริ่มพบต้นที่เป็นโรค ราดดินด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
8. เมื่อเริ่มพบโรคบริเวณโคนต้นใช้มีดถากเปลือกหรือขูดเปลือกบริเวณที่เป็นโรคออก แล้วทาด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 100-150 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 80-100 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล+แมนโคเซบ 72% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทุก 5-7 วัน หรือจนกว่าแผลจะแห้ง

แมลงศัตรูและการป้องกันกำจัด
1.หนอนชอนใบ ลักษณะอาการหนอนชอนใบทำลายใบอ่อนโดยจะชอนเข้าไปกัดกินในระหว่างชั้นของผิวใบทำให้เกิดเป็นรอยโพรงสีขาว มีผลทำให้การสังเคราะห์แสงลดลงและโรคแคงเกอร์เข้าทำลายซ้ำ
การป้องกันกำจัดโดยตัดแต่งใบอ่อนที่ถูกหนอนทำลายมาเผาไฟ และพ่นสารปิโตรเลียมสเปรย์ออยล์ 83.9% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไทอะมีโทแซม 25% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
2. เพลี้ยไฟ จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อนทำให้ใบหงิกงอ
การป้องกันกำจัด ตัดแต่งใบที่ถูกทำลายทิ้ง และพ่นสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอะเซททามิพริด 20% เอสพี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

3.แมลงค่อมทอง จะกัดกินใบอ่อนและยอดอ่อนถ้าทำลายมากจะกินใบอ่อนจนเหลือแต่ก้านใบ
การป้องกันกำจัด เขย่าต้นหรือกิ่งและเก็บตัวแมลงไปทำลาย และพ่นสารคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

ดัชนีการเก็บเกี่ยว

อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมของส้มโอ คือ ประมาณ 6.5-7.5 เดือน หลังดอกบาน ส้มโอแก่จะมี ต่อมน้ำมันที่ก้นผลห่างและผิวมีนวล ส้มโอที่เก็บเกี่ยวแก่เกินไป ไส้และกลีบจะแตก เนื้อฟ่าม และร่วนเหมือนเมล็ดข้าวสาร

ที่อุณหภูมิ 5  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 1 วัน และที่อุณหภูมิ 10  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 5-6 วัน หากเก็บรักษานานขึ้นส้มโอจะแสดงอาการสะท้านหนาว โดยผิวจะเปลี่ยนเป็นจุดสีน้ำตาลและขยาย ขนาดมากขึ้นตามความรุนแรงและอายุการเก็บรักษา ที่อุณหภูมิ 13-15  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 8 วัน  ที่อุณหภูมิ 30  องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 1-2 วัน ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95%

ส้มโอส่งออกจะผ่านการล้างทำความสะอาดและเคลือบผิว เพื่อช่วยลด การสูญเสียน้ำระหว่างการขนส่งและการวางจำหน่าย สำหรับการบรรจุส้มโอจะ บรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูก โดยเรียงเพียงหนึ่งหรือสองชั้น และมีกระดาษลูกฟูก คั่นระหว่างผลหรือชั้น

คุณค่าอาหารและสรรพคุณ

ส้มโอมีวิตามินซีมาก ตามมาด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 และน้ำในส้มโอยังมีน้ำตาลประเภทย่อยสลายได้ทันทีเรียกว่า กลูโคส (glucose) ให้พลังงานกับร่างกายอย่างรวดเร็ว ส้มโอมีเส้นใยสูงช่วยในการขัยถ่าย และขับสารพิษ ถ้าใครมีอาการท้องอืด ก็ให้รับประทานส้มโอเป็นอาหารว่างได้เลย หากมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวรับประทานส้มโอให้มากๆ จะช่วยระบายความร้อน ผ่อนพิษไข้ที่อยู่ในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน

การพัฒนาต่อไปคือวิจัยพัฒนารูปแบบการจัดการเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการผลิต

GAP ส้มโอ
By Satja Prasongsap
Professional Research Scientist
Horticultural Research Institute(HRI), Department of Agriculture (DOA)

Category: GAP, VDO, พืชไม้ผล, พืชไม้ผล ย-ฮ

Comments are closed.

banner ad

Hit Counter provided by technology news