มะเขือเทศ
มะเขือเทศ
ชื่ออื่นๆ : มะเขือส้ม ตรอบ ตีรอบ น้ำเนอ มะเขือ
ชื่อวงศ์ : SOLANACEAE
ชื่อสามัญ : Love Apple, Wild Tomato
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lycopersicon esculentum Mill.
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 2 ม. ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ถึงรูปขอบขนาน กว้าวง 3-6 ซม. ยาว 3-10 ซม. ขอบใบเว้าลึก ดูคลายแบแบบขนนก ดอกช่อออกที่ซอกใบ ดอกย่อย 6- 12 ดอก กลีบดอกที่เหลือเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ผลสดรูปทรงกลม หรือทรงกระบอก ฝาเรียบเป็นร่องตามยาวเมื่อยังอ่อนสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดง ชมพู ส้ม เหลือง (เมื่อสุก)
การเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตมะเขือเทศ 13 ลักษณะ เพื่อใช้ในการทำเกษตรอัจฉริยะ ผสานกับปัจจัยสภาพแวดล้อมออกมาเป็น Database สำหรับการปลูกพืช 1.Days to flowering 2.Days to fruit setting 3.Leaf temperature 4.NO3 5.Plant vigor 6.Plant height 7.Leaf curling 8. Pollen number, viability, germination 9. % Fruit set 10.Total yield 11. Fruit weight 12. Fruit dry weight 13. Leaf & stem dry weight
ประเทศไทยนิยมใช้เมล็ดพันธุ์มะเขือเทศ 2 แบบ คือ แบบผสมเปิด (OP) และแบบสายพันธุ์ลูกผสม (F1 Hybrid) เราแบ่งมะเขือเทศออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มผลใหญ่เพื่อการแปรรูป เป็นน้ำมะเขือเทศเข้มข้นหรือซ๊อส มีการเจริญเติบโตแบบไม่ทอดเลื้อยถึงกึ่งทอดเลื้อย น้ำหนักผลมากกว่า 80 กรัม ผลสุกพร้อมกันทั้งต้น ขั้วผลหลุดง่าย ผลแข็ง ปริมาณเนื้อมาก และแน่น น้ำในผลน้อย
2.1 กลุ่มเชอร์รี หรือมะเขือเทศรับประทานสดผลเล็ก มีการเจริญเติบโตแบบกึ่งทอดเลื้อยถึงทอดเลื้อย ผลมีรูปร่างหลายแบบและมีสีสันหลากหลาย รสหวาน กรอบ เมล็ดน้อย นิยมบริโภคผลคล้ายผลไม้
2.2 กลุ่มผลใหญ่ หรือมะเขือเทศเนื้อ มีการเจริญเติบโตแบบไม่ทอดเลื้อยถึงกึ่งทอดเลื้อย นิยมนำมาประกอบอาหารพวกยำ เนื่องจากมีเนื้อผลหนาและปริมาณเนื้อมาก
2.3 กลุ่มสีดา มีการเจริญเติบโตแบบไม่ทอดเลื้อย ผลรูปกลม รูปรี หรือ รูปผลแพร์ ผลสุกสีชมพูเข้มถึงแดง เนื้อผลหนาและแน่น มีรสเปรี้ยวมากกว่ากลุ่มอื่น นิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อให้ได้รสเปรี้ยวและกลิ่นหอม เช่น ยำ และ ส้มตำ
การขยายพันธุ์ : เมล็ด
การเตรียมวัสดุเพาะ ได้แก่ หน้าดิน แกลบดำ และ ปุ๋ยคอก อัตราส่วน 2 : 1 : 1 ผสมให้เข้ากันรดน้ำพอหมาด หลังเพาะเมล็ดให้โรยปิดหน้าด้วยขุยมะพร้าวเพื่อรักษาความชื้นและรดน้ำพอชุ่มทุกวัน วางในที่ที่มีแสงแดดรำไร ย้ายปลูกลงแปลงเมื่ออายุ 20-30 วันหลังเพาะเมล็ด
การเพาะกล้า มี 3 วิธีการ
1. การเพาะในถาดหลุม นำวัสดุเพาะใส่ในถาดหลุมพอแน่น หยอดเมล็ด 2-3 เมล็ดต่อหลุม กลบดินบางๆ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2 – 3 ใบ ให้คัดเลือกเหลือต้นที่สมบูรณ์ 1 ต้นต่อหลุม
2. การเพาะในกระบะเพาะชำ นำวัสดุเพาะใส่ในกระบะ เกลี่ยหน้าดินให้เรียบ ใช้ไม้เขี่ยดินให้เป็นร่องแนวยาวลึก 0.5 เซนติเมตร โรยเมล็ดตามร่องให้เมล็ดกระจายไม่ซ้อนทับกัน กลบดินบางๆ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2 – 3 ใบ ให้ถอนแยกต้นกล้าไม่ให้ซ้อนทับกันในแต่ละแถว
3. การเพาะในถุงเพาะชำ นำวัสดุเพาะใส่ในถุงเพาะชำขนาด 3 x 6 นิ้ว หยอดเมล็ด 2- 3 เมล็ดต่อถุง กลบด้วยดินผสมบางๆ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2 – 3 ใบ ให้คัดเลือกเหลือต้นที่สมบูรณ์ 1 ต้นต่อถุง
การย้ายกล้าจากถาดหลุม ควรใช้มือบีบด้านล่างสุดของถาดหลุม ต้นกล้าจะหลุดออกมาจากถาดพร้อมดินปลูก ทำให้ต้นกล้าไม่กระทบกระเทือนมากนัก การเพาะต้นกล้าโดยใช้ถาดหลุม ช่วยให้เกษตรกรคำนวณปริมาณเมล็ดได้ง่าย และสามารถเตรียมในบริเวณบ้านได้ ทำให้สามารถดูแลต้นกล้าได้ดีกว่า และรากต้นกล้าได้รับความเสียหายน้อยเมื่อทำการย้ายลงแปลง
การปลูกและการดูแลรักษา
การป้องกันกำจัดโรค แมลงศัตรูพืช
1.โรคใบไหม้ อาการเริ่มแรกจะเกิดเป็นจุดแผลช้ำๆฉ่ำน้ำสีเขียวเข้มเหมือนใบถูกน้ำร้อนลวก ที่ใบล่างๆก่อน บริเวณขอบแผล จะสังเกตเห็นเส้นใยสีขาวอยู่รอบ ๆ เมื่อเชื้อเจริญมากขึ้นใบจะแห้ง กิ่งและลำต้นเป็นแผลสีดำ ผลมีรอยช้ำเหมือนถูกน้ำร้อนลวก * โรคนี้มักพบระบาดมากทางภาคเหนือ ในฤดูหนาว
การป้องกันกำจัด ถ้าปลูกมะเขือเทศแบบยกค้าง ควรตัดแต่งใบล่างให้โปร่ง ควรหลีกเลี่ยงการปลูกมะเขือเทศในพื้นที่ที่เคยมีโรคนี้ระบาด เมื่อเริ่มพบโรค ควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น คลอโรทาโลนิล 50% เอสซี หรือ เมทาแลกซิล + แมนโคเซบ 72% ดับเบิ้ลยูพี
2. ไส้เดือนฝอยรากปม ใช้ fluopyram 40% sc อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หลังย้ายกล้าปลูก 1 เดิอน ทำการราดสาร 100 มิลลิลิตรต่อหลุมปลูก
3. หนอนเจาะสมอฝ้ายใบถูกกัดกินเป็นรอยแหว่ง ผลเจาะเป็นรู
การป้องกันกำจัด เก็บผลที่ถูกทำลายออกจากแปลง พ่นเชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทูริงเยนซิส) อัตรา 6๐-8๐ กรัมต่อน้ำ 2๐ ลิตร หรือพ่นสารฆ่าแมลง เช่น อินดอกซาคาร์บ 15% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสปินโนแซด 12% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% อีซี อัตรา 2๐ มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ไบเฟนทริน 2.5% EC อัตรา 8๐ มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรและงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์
4.แมลงวันหนอนชอนใบ ลักษณะใบมีลักษณะเป็นรอยทางยาว
การป้องกันกำจัด เก็บใบที่ถูกทำลายออกจากแปลงข. พ่นสารฆ่าแมลง เช่น ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเบต้า-ไซฟลูทริน 2.5% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรหรือ อิมิดาโคลพริด 70 ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์
5.หนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศ ระยะไข่ 4-6 วัน ตัวเต็มวัยเพศเมีย 1 ตัววางไข่ได้ 300 ฟอง ไข่มีทรงกระบอกขนาดเล็ก สีเหลืองครีม ยาว 0.50 มิลลิเมตร ระยะหนอน 8-14 วัน มี 4 วัย วัยแรกสีครีมมีขนาด 1 มิลลิเมตร หนอนวัย 4 ยาว 6-7 มิลลิเมตร จเมื่อเข้าดักแด้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวปนชมพู ระยะดักแด้ 7-10 วัน จะฝังตัวบนผิวใบหรือในดิน ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก ยาว 5-7 มิลลิเมตร สีน้ำตาลอมเทา เพศผู้ 10-15 วัน เพศเมีย 6-7 วัน
การป้องกันกำจัด ติดกับดักฟีโรโมนเพื่อดักจับตัวเต็มวัยเพศผู้ 8-10 กับดักต่อไร่ และพ่นสารฆ่าแมลง ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร สารสไปนีโทแรม 12% SC สารอีมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% EC สารคลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC สารลูเฟนนูรอน 5% EC สารอินดอกซาคาร์บ 15% EC สารคลอแรนทรานิลิโพรล เริ่มพ่นเมื่อต้นมะเขือเทศมีอายุ 5 วันหลังย้ายปลูก พ่นทุก 5 วันจนต้นมะเขือเทศเริ่มออกดอและพ่นทุก 7-10 วันในระยะออกดอกติดผลอีก 3-5 ครั้ง ทำความสะอาดโรงเรือน และเก็บเศษซากพืชที่ถูกทำลายเผาหรือฝังในดิน
ปลายปี 2561 ประเทศไทยได้รับรายงานจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ว่า หนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศ Tuta absoluta (Meyrick) (TA) เดิมมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเปรู ได้แพร่ระบาดเข้ามาในทวีปเอเชีย TA เป็นศัตรูพืชชนิดที่มีความร้ายแรง สามารถทำลายและสร้างความเสียหายต่อพืชเศรษฐกิจหลายชนิด โดยเฉพาะในพืชตระกูลมะเขือ ในเอเชียมีรายงานพบการระบาดของหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย และเนปาล ได้รับการยืนยันจากหน่วยงาน World Vegetable Center และ The Centre for Agriculture and Bioscience International (CABI) พบการระบาดของหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศในบริเวณภาคเหนือของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
6. แมลงหวี่ขาว สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด ได้แก่ สารไดโนทีฟูแรน 1% GR อัตรา 3 กรัมต่อหลุม รองก้นหลุม สามารถป้องกันได้ประมาณ 25 วัน สารอิมิดาโคลพริด 10% SL อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เฟนโพรพาทริน 10% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เริ่มพ่นเมื่อมะเขือเทศอายุ 5 วัน หลังย้ายปลูก โดยพ่นทุก 5 วัน จนเริ่มออกดอก และพ่นทุก 7-10 วัน ในระยะออกดอกติดผลอีก 3-5 ครั้ง
การเก็บเกี่ยว
1. มะเขือเทศจะเริ่มสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ที่อายุ 50-60 วันหลังปลูก โดยมะเขือเทศกลุ่มไม่ทอดเลื้อยสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตพร้อมกันทั้งต้น ส่วนมะเขือเทศกลุ่มทอดเลื้อยจะทะยอยเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานต่อเนื่อง 2-3 เดือน แต่ผลผลิตจะลดลงไปตามระยะเวลาและความสมบูรณ์ของการปฏิบัติดูแล
มาตรฐานการผลิตมะเขือเทศ
ข้อกำหนดขั้นต่ำ เป็นมะเขือเทศทั้งผล เนื้อแน่น มีขั้วติดกับกระเปาะอยู่ ไม่เสื่อมเสีย ตรงตามพันธุ์ เหมาะสำหรับการบริโภค สะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อน ไม่มีรอยช้ำ หรือบาดแผลจากการตัดแต่ง ปลอดจากแมลงที่ทำลายผลซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เสียหาย ไม่มีความผิดปกติที่เกิดจากความชื้นไม่รวมหยดน้ำที่ออกจากห้องเย็น ไม่มีกลิ่นและรสที่ผิดปกติ ไม่เหี่ยวหรือการพรมน้ำ ไม่มีความเสียหายเนื่องจากอุณหภูมิต่ำ และหรืออุณหภูมิสูง ไม่มีเส้นใยหยาบในเนื้อ ไม่มีเมล็ดแก่ ไม่มีรอยบุ๋มหรือรอยแยก
1. การแบ่งเกรดด้านคุณภาพมี 3 เกรด ได้แก่ ชั้นพิเศษ(Extra Class I) ชั้นหนึ่ง(Class I) และชั้นสอง (Class II)
- ชั้นพิเศษ มะเขือต้องมีคูภาพดีที่สุด รูปร่างและลักษณะปรากฎตรงตามพันธุ์ ไม่มีตำหนิ มีความสม่ำเสมอในเรื่องสีและขนาด มีขั้วติดผลกระเปาะ เนื้อต้องอยู่ในสภาพดี
- ชั้นหนึ่ง มะเขือมีคุณภาพดี รูปร่างและลักษณะปรากฎตรงตามพันธุ์ มีตำหนิได้เล็กน้อย เช่น ความผิดปกติของรูปทรง สี สำหรับรอยช้ำหรือรอยแผลเป็นยอมให้มีได้ไม่เกิน 2% ของพื้นผิวและต้องไม่มีผลกระทบต่อผลิตล
- ชั้นสอง มะเขือต้องเป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำด้านคุณภาพ มีตำหนิ ความผิดปกติของรูปทรง สี ได้ สำหรับรอยช้ำหรือรอยแผลเป็นยอมให้มีได้ไม่เกิน 4% ของพื้นที่ผิวและต้องไม่มีผลกระบต่อผลิตผล
2. การแบ่งชั้นด้านขนาด โดยใช้เส้นผ่าศูนย์กลางหรือน้ำหนักเป็นเกณฑ์ แบ่งตามขนาดลูกกลมเล็ก ลูกทรงยาว และลูกกลมใหญ่ ดังนี้
a. เกณฑ์ตามเส้นผ่าศูนย์กลาง สำหรับมะเขือรูปทรงกลมเล็ก กำหนดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 20 มิลลิเมตร รูปทรงยาว 35 มิลลิเมตร และลูกกลมใหญ่ 75 มิลลิเมตร โดยความแตกต่างระหว่างลูกเล็กและลูกใหญ่ไม่ควรเกินดังนี้ รูปทรงกลมเล็ก 5 มิลลิเมตร ลูกทรงยาว 20 มิลลิเมตร ลูกกลมใหญ่ 25 มิลลิเมตร
b. เกณฑ์ตามน้ำหนัก กำหนดให้น้ำหนักน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 50 กรัม โดยแบ่งเป็น
น้ำหนักมากกว่า 100 กรัม | ความแตกต่างระหว่างลูกเล็กและลูกใหญ่ไม่เกิน 20 กรัม |
น้ำหนักตั้งแต่ 100-300 กรัม | ความแตกต่างระหว่างลูกเล็กและลูกใหญ่ไม่เกิน 50 กรัม |
น้ำหนักตั้งแต่ 300-500 กรัม | ความแตกต่างระหว่างลูกเล็กและลูกใหญ่ไม่เกิน 75 กรัม |
น้ำหนักมากกว่า 500 กรัม | ความแตกต่างระหว่างลูกเล็กและลูกใหญ่ไม่เกิน 200 กรัม |
ขนาดในชั้นพิเศษ บังคับให้มะเขือเทศรูปทรงยาว มีความยาวไม่ต่ำกว่า 80 มิลลิเมตร
————————————————
การนำไปใช้ประโยชน์ : ทางอาหาร ผลสุกปรุงรสอาหารประเภทต้ม หรือยำ หรือบริโภคสด น้ำมะเขือเทศสดพอกหน้าโดยนำผลมะเขือเทศบดให้ละเอียดเติมน้ำมะนาว 2-3 หยด
สรรพคุณ
ใบ ใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียด ใช้เป็นยาทาหรือพอกแก้ผิวหนังถูกแดดเผา
ผล ใช้ผลสด นำมารับประทานสด หรือต้มเอาน้ำแกงกิน เป็นยาแก้กระหายน้ำ เป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับพิษและสิ่งที่คั่งค้างในร่างกาย ช่วยบำรุง และกระตุ้นกระเพาะอาหาร ลำไส้ และไต
ราก ใช้รากสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ปวดฟัน หรือใช้น้ำที่ต้มนำมาล้างบาดแผล
ประเด็นงานวิจัย การผลิตมะเขือเทศในโรงเรือน เช่น การติดดอก และการผสมเกสร อุณหภูมิ และความชื้นมีผลต่อผลผลิต
Category: พืชสมุนไพร, พืชสมุนไพร บ-ม