โรคแอนแทรคโนส
โรคแอนแทรคโนส antracnose disease
เชื้อสาเหตุ รา Collectrichum gloeosporioides และ C. capsici (Syd.) E.J. Butler มีเซลเดียว เกิดบน conidiosphore ใน fruiting body เรียกว่า acervulus สำหรับรา C. capsici สปอร์มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ไม่มีสี มีเซลเดียว เกิดบน conidiophore ใน fruiting body เรียกว่า acervulus พบราชนิดนี้สร้าง setae จำนวนมาก
ลักษณะอาการ อาการของโรคมักพบบนผลพริกที่เริ่มสุด หรือระยะก่อนที่ผลพริกจะเปลี่ยนสี อาการเริ่มแรกจะปรากฏเป็นวงกลมช้ำสีน้ำตาล เนื้อเยื่อบุ๋มลึกลงไปจากระดับเดิมเล็กน้อย และจะค่อยๆ ขยายกว้างออกไปเป็นวงกลมหรือวงรีรูปไข่ ซึ่งมองเห็นลักษณะของราที่เจริญภายใต้เนื้อเยื่อของพืชขยายออกไปในลักษณะที่เป็นวงกลมสีดำซ้อนกันเป็นชั้น เมื่อมีความชื้นจะเห็นเป็นเมือกเยิ้มสีส้มอ่อนๆ บริเวณแผลบนผลพริก ทำให้แผลขยายตัวและผลพริกจะเน่าและร่วงก่อนเก็บเกี่ยว ผลพริกที่เป็นโรคนี้เมื่อนำไปตากแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีด
การแพร่ระบาด พบระบาดมากในสภาพที่มีความชื้นสูงหรือมีฝนตก โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังให้ผลผลิต และโรคจะระบาดรุนแรงในพื้นที่ปลูกที่ขาดความเอาใจใส่และดูแล ความเสียหายในแต่ละท้องที่มีความแตกต่างกันตามชนิดของเชื้อสาเหตุ และราสามารถติดไปกับเมล็ดพริกได้
การป้องกันกำจัด
1. คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์จากผลพริกที่ไม่เป็นโรคมาปลูก
2. การปลูกไม่ควรปลูกระยะชิดมากเกินไปจะทำให้ต้นแน่น การถ่ายเทอากาศไม่สะดวก และมีความชื้นสะสมในแปลงปลูก โรคจะระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว
3. กำจัดและเก็บผลพริกที่เป็นโรคแอนแทรคโนสจากแปลงทิ้งให้หมด สามารถลดปริมาณของเชื้อสาเหตุ ซึ่งจะทำให้เป็นต้นกำเนิดของการเกิดโรคในฤดูปลูกต่อๆ ไป
4. ใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราพ่นทุกๆ 7- 10 วันต่อครั้ง เช่น โพรคอลราท ออกซีสโตรบิน และคลอโรไทโรนิล ในช่วงฤดูปลูกที่เริ่มมีฝนตกหรือความชื้นในอากาศสูง
5. ใช้ยาคลุกเมล็ดพันธุ์ เช่น แมนโคเซบ ไดเทน เอ็ม 45 ชนิดสีแดง เพื่อทำลายเชื้อที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์
By สัจจะ ประสงค์ทรัพย์ (Satja Prasongsap)
Professional Research Scientist
Horticulture Research Institute
E-mail : herbdoa@gmail.com